การบริหารจัดการองค์ความรู้ (Knowledge management (KM))
การบริหารจัดการองค์ความรู้
(Knowledge
management (KM))
การบริหารจัดการองค์ความรู้ (Knowledge
management (KM)) คือ กระบวนการที่ช่วยให้องค์กร
บ่งชี้
เลือก เผยแพร่ และ
ถ่ายโอนสารสนเทศและประสบการณ์ที่สำคัญอันเป็นส่วนความจำขององค์กร(organization’
s
memory)องค์ความรู้ที่ถูกจัดอย่างเป็นโครงสร้าง ช่วยให้:
แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
เกิดการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง (dynamic
learning)
ช่วยในการวางแผนด้านกลยุทธ์ (strategic
planning)
ช่วยในการตัดสินใจ (decision
making)
ทรัพยากรที่มีค่ายิ่งขององค์การนอกจากบุคลากร
ก็คือ ความรู้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางกลยุทธ์ที่สำคัญองค์การต่าง ๆ
จึงให้ความสนใจในการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) มากขึ้นและมุ่งหวังที่จะนำความรู้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และชาญฉลาด
ในการสร้างสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะเฉพาะตัวเพื่อสร้างความเจริญเติบโต
และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
ความหมายของความรู้
มีผู้ให้ความหมายของความรู้ไว้หลายแนวคิด
เช่น
พจนานุกรมทางการศึกษา (Carter V. Good
1973 ได้ให้ความหมายของ ความรู้ว่า ความรู้เป็นข้อเท็จจริง (Facts)
ความจริง (Truth) กฎเกณฑ์และข้อมูลต่างๆที่มนุษย์ได้รับและรวบรวมสะสมไว้จากมวลประสบการณ์ต่างๆ
พจนานุกรม The Lexiticon Webster
(Dictionary Encyclopedia Edition 1,1977) ได้ให้คำจำกัดความ “
ความรู้” เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง
กฎเกณฑ์และโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหรือเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับสถานที่
สิ่งของ หรือบุคคล ซึ่งได้จากการสังเกตุ ประสบการณ์ หรือรายงาน การรับรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ต้องชัดเจนและต้องอาศัยเวลา
วิชัย วงศ์ใหญ่ (2530) ได้ให้ความหมายความของ “ความรู้” ไว้ว่า ความรู้เป็นพฤติกรรมเบื้องต้นที่
ผู้เรียนสามารถจำได้
หรือระลึกได้โดยการมองเห็น ได้ยิน ความรู้ในขั้นนี้ คือ ข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์
คำจำกัด
ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2542 คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน
การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติ และทักษะความเข้าใจ
หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด
หรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา
จากความหมายดังกล่าว ความรู้ หมายถึง
การรับรู้ข้อเท็จจริง (Facts) ความจริง (Truth)
กฎเกณฑ์
และข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้นจากการศึกษา
ซึ่งพฤติกรรมเบื้องต้นที่ผู้เรียนสามารถจำได้ ระลึกได้โดยได้ยิน การมองเห็น
การสังเกต หรือจากประสบการณ์ทางธรรมชาติ (NATURAL SETTING) คือ
เรียนรู้จากสภาพธรรมชาติที่อยู่ใกล้ๆตัว การเรียนรู้จากสังคม (SOCIETY
SETTING) เช่น จากการอ่านหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์อินเทอร์เน็ต
หรือจากการเรียนการสอน (FORMAL INSTRUCTIONAL SETTING) คือ
มีผู้แทนจากสถาบันจัดลำดับการเรียนรู้อย่างมีจุดหมายและต่อเนื่อง เป็นต้น
รวมถึงสิ่งที่ได้รับการสั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน ค้นคว้าและถ่ายทอด
ที่นำไปสู่การกำหนดกรอบความคิดสำหรับการประเมิน ความเข้าใจ
และการนำสารสนเทศและประสบการณ์ใหม่มาผสมรวมกัน
ความหมายของการจัดการความรู้
(Knowledge
Management)
มีผู้ให้ความหมายของการจัดการความรู้ไว้หลากหลาย
ในที่นี้จะขอยกมาเพียงบางท่าน ดังนี้
การจัดการความรู้ คือ
การได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารที่เหมาะสม สำหรับบุคลากรที่เหมาะสม ในเวลาที่
เหมาะสม
และช่วยให้บุคลากรสร้าง แบ่งปัน และกระทำสิ่งต่างๆ บนข้อมูล ในหนทางที่จะทำให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะของนาซ่าและหุ้นส่วน
อย่างสามารถพิสูจน์ได้ (Knowledge
management is getting the rightinformation to the right people at the right
time, and helping people create knowledge andshare and act upon information in
ways that will measurably improve the performance ofNASA and its partners.)
(คณะทำงานการจัดการความรู้ขององค์การนาซ่า
NASA Knowledge Management Team, 2545) การจัดการความรู้ในองค์กร
หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร
ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ
เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้
รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด
(สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, 2548)
การจัดการความรู้เป็นความท้าทายสองประการ
ประการแรก คือ การจัดการข้อมูลข่าวสารและกระบวนการ และประการที่สอง คือ
การจัดการบุคลากรและสภาพแวดล้อมเพื่อให้ความรู้ถูกสร้าง แบ่งปันและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
(WHO considers KM to be the dualchallenge of, first, managing
information and processes and, second, managing people andtheir environment so
that knowledge is created, shared and applied more systematically andeffectively.)
(องค์การอนามัยโลก World
Health Organization: WHO, 2548) ได้ให้นิยามความหมายของการจัดการความรู้ไว้ว่า
“การจัดการความรู้ คือ การบริหารจัดการที่
ส่งเสริมให้คนในองค์กร
ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อต่อยอดความรู้ที่แต่ละคนมีอยู่ให้สมบูรณ์
แล้วนำไปใช้สร้างนวัตกรรมในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน (บูรชัย ศิริมหาสาคร, 2550)
การจัดการความรู้ คือ กระบวนการในการสร้าง ประมวล
เผยแพร่ และใช้ความรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการดำเนินงาน (ทิพวรรณ
หล่อสุวรรณรัตน์, 2552)
การจัดการความรู้
เป็นกระบวนการในการจัดการสภาพแวดล้อม บรรยากาศ หรืออุปกรณ์ เช่น
เทคโนโลยี
ที่มีส่วนสนับสนุนหรือเอื้อให้คนในองค์การมีการสร้าง แลกเปลี่ยน แบ่งปัน
กู้กลับคืน และใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อการสร้างสรรค์
และพัฒนาทั้งทางด้านของตัวบุคคลและองค์การให้มีความสามารถที่เป็นประโยชน์
และพร้อมที่จะปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการดำเนินงานขององค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(สุจิตรา ธนานันท์,
2552)
กล่าวโดยสรุป การจัดการความรู้ คือ
กระบวนการในการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบเป็น
ขั้นตอน
ตั้งแต่กระบวนการในการระบุความรู้ที่มีอยู่ในองค์การ
การจัดเก็บรวบรวมความรู้จากบุคลากร การจัดหมวดหมู่ความรู้ การเผยแพร่องค์ความรู้
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการเรียนรู้
จนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้และต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน
เพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์ขององค์การ
ขั้นตอนการจัดการความรู้
(คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง,
2552)
จากการรวบรวมและศึกษาขั้นตอนของการจัดการความรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้กำหนดไว้
สามารถสรุปออกได้เป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดสิ่งที่ต้องเรียนรู้ (Knowledge Identification) คือ การกำหนดนิยามของสิ่งที่องค์กรต้องการให้บุคลากรเรียนรู้
เพื่อให้บรรลุผลตามวิสัยทัศน์ นโยบาย ภารกิจ ค่านิยมและเป้าหมายต่าง ๆ ขององค์กร
เช่น การระบุขอบข่ายงาน การนิยามขีดความสามารถและคุณลักษณะของแต่ละตำแหน่งงาน
เป็นต้น
2. การแสวงหาความรู้ (Knowledge Acquisition) คือ
การนำเอาข้อมูล สารสนเทศและความรู้ที่มีอยู่ภายในและภายนอกองค์กร
มากลั่นกรองและนำมาสร้างคุณค่า เช่น การสอนงาน การฝึกอบรม การสัมมนาการประชุม
การแสดงผลงาน ระบบพี่เลี้ยง การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและการลงมือปฏิบัติ
การดำเนินการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการปฏิบัติงานต่างๆ ขององค์กร
3. การสร้างความรู้ (Knowledge Creation) คือ
การสร้างสรรค์ความรู้ให้เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล โดยผ่านการผลักดัน
การหยั่งรู้และเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างความรู้ใหม่ๆเช่นการคิดค้นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่หรือนวัตกรรมใหม่ๆ
ให้กับองค์กรได้ โดยแบ่งความรู้เป็น 3 ประการ ดังนี้
3.1. ความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์การทำงานและ
อยู่ในตัวคน
เป็นความรู้ที่จับต้องไม่ได้หรือทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) เช่น
ภาวะผู้นำขอผู้บริหารองค์กร ความรู้ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ขององค์กร
ความสัมพันธ์ของลูกค้า เป็นต้น ซึ่งความรู้โดยนัยนี้เป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดที่ควรดำเนินการให้เกิดการแพร่กระจายในองค์กร
เพื่อสร้างความรู้ใหม่อันจะเพิ่มมูลค่าและคุณค่าแก่ประเทศได้
3.2. ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ที่เปลี่ยนแปลงจากความรู้โดยนัยและ
ความรู้ที่อยู่โดยรอบมาเป็น
สื่อ ตำรา หรือเอกสารอื่นๆ ที่สามารถจับต้องได้
3.3. ความรู้ที่ฝังตัวอยู่ในองค์กร (Embedded
Knowledge) คือ ความรู้ที่อยู่ในองค์กร เป็น
ความรู้
ความเข้าใจที่ชัดเจนในกระบวนการผลิตและ/หรือการบริการ
ซึ่งรวมถึงวัฒนธรรมองค์กรด้วย
4. การจัดเก็บและสืบค้นความรู้ (Knowledge Storage & Retrieval) คือ การจัดเก็บความรู้ไว้เพื่อให้บุคลากรในองค์กรเข้ามาสืบค้นได้ตามความต้องการ
โดยต้องคำนึงถึงวิธีการเก็บรักษา
ซึ่งแต่ละองค์กรจะต้องเก็บรักษาข้อมูลสารสนเทศและความรู้ไว้อย่างดีที่สุด
ในการจัดเก็บนั้นสามารถบันทึกเป็นฐานข้อมูลหรือบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนได้
5. การถ่ายโอนความรู้และใช้ประโยชน์ (Knowledge Transfer &
Utilization) คือ การกระจาย
ความรู้และถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็วและเหมาะสมทั่วทั้งองค์กร
เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
(ศรีไพร และเจษฎาพร, 2549) การจัดการความรู้ที่ดี
ช่วยให้องค์การได้รับประโยชน์ เช่น
- ช่วยเก็บความรู้ให้ควบคู่กับองค์การตลอดไป
- ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
การให้บริการ หรือการเรียนรู้งานใหม่
- ปรับปรุงประสิทธิภาพ
และช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับทุกส่วนขององค์การ
- เสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ
- ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้
แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรมีคุณภาพเพิ่มขึ้น
และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการปฏิบัติงานอันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การ
- ช่วยให้องค์การมีความพร้อมในการปรับตัวให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
การ
ดำเนินธุรกิจเพื่อความอยู่รอดและได้เปรียบทางการแข่งขัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น